วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บทที่ 1
บทนำ
1. ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
                       ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศและอินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์มากขึ้น เป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตไปแล้วเพราะสามารถเข้าถึงได้ง่ายการศึกษาเกี่ยวกับ       อาชีวอนามัยและความปลอดภัยในโรงพยาบาล มีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ เนื่องจากในการปฏิบัติงานนั้นมีโอกาสที่จะสัมผัสกับสิ่งคุกคามต่อสุขภาพอนามัยและความไม่ปลอดภัยในด้านต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตลอดทั้งงานมีลักษณะและกระบวนการในการทำงานที่มีความหลากหลายและซับซ้อน
                 บุคลากรทางการแพทย์เป็นผู้ที่ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง จึงส่งผลให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดการเจ็บปวดด้วยโรคหรืออุบัติเหตุจากการทำงาน เช่น การปวดเมื่อยกล้ามเนื้อจากท่าทางการทำงานที่ไม่ถูกต้อง การติดเชื้อจากการทำงาน รวมทั้งการมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เหมาะสม ก็อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของตัวบุคลากร  และอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรนำไปสู่ความเสียหายต่อภาพลักษณ์ขององค์กรได้  นอกจากนี้ความเสี่ยงต่ออันตรายที่เกิดจากการทำงานได้ตลอดเวลา  บุคลากรทางการแพทย์ก็อยู่ในกลุ่มที่มีโอกาสได้รับอันตรายดังกล่าว การที่ได้เรียนรู้การป้องกันและผลกระทบที่จะเกิดจากอันตรายจากการทำงาน ทำให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นส่วนสารเคมีที่เป็นอันตรายมีอยู่มากมายหลายชนิด ซึ่งสารเคมีแต่ละชนิดล้วนมีความเป็นพิษหรือความเป็นอันตรายที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น คุณสมบัติของสารเคมี ระดับความเข้มของสารเคมี ระยะเวลา ความถี่ในการสัมผัส เพศและอายุของผู้สัมผัสสารเคมี เป็นต้น ในการปฏิบัติงานกับสารเคมี  มีความเสี่ยงที่อาจเกิดอันตรายหรือผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานได้ หากผู้ปฏิบัติงานขาดความรู้ความเข้าใจ  ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในการปฏิบัติงานกับสารเคมีควรทราบข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับสารเคมี อันตรายที่อาจเกิดขึ้นรวมถึงวิธีการป้องกันควบคุมอันตรายจากสารเคมีที่ถูกต้องและเหมาะสมในการทำงานในโรงพยาบาล และปัจจุบันอันตรายทางด้านรังสีนั้น กำลังเป็นที่สนใจเป็นอย่างมากทั้งบุคคลทั่วไปและบุคคลที่ต้องปฏิบัติงานหรือเกี่ยวข้องกับรังสี ซึ่งจากเหตุการณ์การเกิดอุบัติเหตุทางรังสี การเกิดการระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ประเทศญี่ปุ่น อันสืบเนื่องจากเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติ ในปี พ..2554 ยิ่งทวีความน่าสนใจเกี่ยวกับอันตรายทางรังสีต่อสุขภาพมากขึ้น ดังนั้นการรู้จักและป้องกันอันตรายจากรังสีจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับรังสี เช่นบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องปฏิบัติงานเกี่ยวกับรังสีเพื่อการรักษาผู้ป่วย เป็นต้น โรงพยาบาลเป็นองค์กรในให้บริการสุขภาพ มีสิ่งที่เป็นอันตรายแอบแฝงอยู่เกิดจากกระบวนการทำงาน และสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน หนึ่งในนั้นคือสิ่งคุกคามทางชีวภาพ บุคลากรทางการแพทย์เป็นผู้ที่ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง ทั้งสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย สิ่งส่งตรวจ นอกจากนี้ยังมีโรคที่ติดตามสิ่งของเหลือใช้ ขยะติดเชื้อและเสื้อผ้าของผู้ป่วย ซึ่งมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ ซึ่งบุคคลเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ ช่างซ่อมบำรุง เภสัชกร ผู้ปฏิบัติงานตลอดจนนักศึกษาที่ขึ้นฝึกปฏิบัติ ล้วนมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ การปฏิบัติงานเพื่อความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการ หากผู้ปฏิบัติงานไม่มีความรู้ ความเข้าใจในการติดตั้งเครื่องมือ การใช้งาน การบำรุงดูแล การเก็บรักษา กระบวนการทำลายของเสียที่เกิดขึ้นในห้องปฏิบัติการที่ถูกต้อง อาจก่อให้เกิดอันตายต่อผู้ปฏิบัติงานและผู้ร่วมงานอื่นๆได้มาก นอกจากนี้สารเคมีหรือเครื่องมือที่ใช้งานเหล่านั้นก็มีวิธีการใช้ที่แตกต่างกัน ไม่สามารถจะใช้วิธีเดียวกันได้ตลอด เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการผู้ปฏิบัติจำเป็นต้องศึกษาวิธีการดูแล การเอาใจใส่ การเลือกใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ถูกต้องเหมาะสม กำหนดวิธีการทำงานที่ดีเพื่อให้งานในห้องปฏิบัติการมีความปลอดภัยมากที่สุด ส่วนการป้องกันการติดเชื้อและแพร่กระจายเชื้อทางอากาศ นับเป็นภารกิจสำคัญกระการหนึ่ง ปัจจัยที่ส่งเสริมให้ความสำคัญของปัญหาการแพร่กระจายเชื้อทางอากาศในสถานพยาบาลมีมากขึ้น ได้แก่ การมีโรคอุบัติใหม่หรืออุบัติซ้ำระบบทางเดินหายใจซึ่งแพร่กระจายทางอากาศได้ โครงสร้างอาคารสถานพยาบาลที่ไม่เอื้อต่อการระบายอากาศอย่างเพียงพอ การใช้เครื่องปรับอากาศในพื้นที่สำหรับดูแลผู้ป่วย โดยไม่มีการกรองหรือระบายอากาศตามเกณฑ์มาตรฐานอย่างเหมาะสม การใช้การใช้ระบบปรับสภาวะอากาศพิเศษในโรงพยาบาลจะช่วยให้เป็นแนวทางในการจัดการระบบปรับสภาวะอากาศพิเศษในโรงพยาบาลจะช่วยให้เป็นแนวทางในการจัดการจัดการระบบปรับอากาศพิเศษที่มีอยู่ภายในโรงพยาบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                    ดังนั้นกลุ่มของข้าพเจ้าจึงคิดทำโครงงานเกี่ยวกับอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในโรงพยาบาล เพื่อให้ทราบถึงแนวทางการปฏิบัติการแก้ไขปัญหาให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ตลอดจนผู้ปฏิบัติงานทางด้านความปลอดภัย โดยจะทำการรวบรวมเนื้อหาและจัดทำเป็นเว็บบล็อกเพื่อให้เข้ากับโลกปัจจุบันที่มีความสะดวกรวดเร็วและเข้าถึงได้ง่าย เพื่อเป็นประโยชน์กับบุคคลที่สนใจการป้องกันและดูแลสุขภาพของตนเอง และบุคลาการทางการแพทย์
   

 อ้างอิง :      กรมควบคุมโรค สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม. คู่มือการประเมินความเสี่ยงจากการทำงานของบุคลากรในโรงพยาบาล. พิมพ์ครั้งที่3. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยจำกัด , 2554.  
                      ดร. นลินี ศรีพวง. พิษและอันตรายจากสารเคมี. [ออนไลน์]. เข้าถึงข้อมูลได้จาก :  http://rohed-center.com/abstract/danger%20of%20chem.pdf. (วันที่ค้นข้อมูล : 5 กันยายน 2555).

2. วัตถุประสงค์
           1. เพื่อศึกษาและพัฒนาเว็บบล็อก เรื่องอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในโรงพยาบาล
           2. เพื่อศึกษาเรื่องอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในโรงพยาบาลอย่างละเอียดและเข้าใจ
           3. เพื่อเป็นสื่อทางการศึกษาให้ความรู้ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
           4. เพื่อเป็นประโยชน์ต่อบุลคลากรทางการแพทย์และผู้ที่สนใจทั่วไป
3. สมมุติฐานของโครงงาน
            นิสิตมีความรู้เกี่ยวกับการดูแลป้องกันอันตรายและผลกระทบที่อาจเกิดจากกระบวนการทำงาน
4. ขอบเขตโครงงาน
            1. ศึกษาการป้องกันความปลอดภัยในการทำงานในโรงพยาบาล
            2. ศึกษาการวิธีการควบคุมและป้องกันอันตรายจากสารเคมี
           3. ศึกษาหลักการและองค์ประกอบของการดำเนินงานอาชีวอนามัยในโรงพยาบาล
5. วิธีการดำเนินงาน
            1. กำหนดหัวข้อหลักเพื่อที่จะศึกษาเกี่ยวกับอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในโรงพยาบาล
            2. ขอคำแนะนำจากอาจารย์ประจำรายวิชา
            3. แบ่งหน้าที่กันหาข้อมูลที่จะศึกษา
            4. นำข้อมูลที่ได้มาจัดเรียงตามหัวข้อที่วางไว้
            5. ลงมือปฏิบัติงานตามแผนที่วางไว้
     6. ประเมินผลการศึกษา
6. ประโยชน์ที่ได้รับ
           1.ได้ทราบถึงหลักการและองค์ประกอบของการดำเนินงานอาชีวอนามัยในโรงพยาบาล
           2. ได้ทราบถึงวิธีการควบคุมและป้องกันอันตรายจากสารเคมี
           3. ได้ทราบถึงวิธีการการป้องกันความปลอดภัยในการทำงานในโรงพยาบาล
           4. ได้ทราบถึงระดับความสว่าง ระดับเสียงและท่าทางที่เหมาะสมในการทำงาน
           5. ได้สื่อทางการศึกษาผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับเรื่องอาชีวอนามัย และความปลอดภัยใน โรงพยาบาล


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น