วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ข้อเสนอแนะการจัดการความเครียดในองค์กร
1. การค้นหาปัจจัยที่ทำให้เกิดความเครียดไม่ควรมองแยกส่วน แต่ควรมองให้เป็นระบบที่เชื่อมโยงกัน
2. โครงการลดความเครียดในที่ทำงาน
3. จัดให้มีโครงการบริหารความเครียดในองค์กร หรือจัดกิจกรรมลดความเครียดในองค์กร
4. ปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงานให้น่าอยู่ น่าทำงาน

ก.ด้านผู้รับบริการ
          1. มีกฎหมายคุ้มครองตามสิทธิผู้ป่วย ผู้รับบริการสามารถเลือกผู้ให้การรักษา / เลือกสถานสถานพยาบาลได้ ละต้องการเลือกการรักษาในสถานพยาบาลที่มีศักยภาพสูง ภาระงานจึงไปหนักที่รพท. และรพศ. ประกอบกับประชาชน / ผู้รับบริการมีความต้องการและมีความคาดหวังสูง จึงทำให้มีการเรียกร้องสิทธิมากขึ้น / ฟ้องร้องมากขึ้น .
         2.พฤติกรรมสุขภาพ และอุปนิสัยการบริโภคอาหารของคนไทย ส่งผลกระทบต่อภาวะสุขภาพของประชาชน
ข.ด้านผู้ให้บริการ
        1.ให้บริการตามมาตรฐานวิชาชีพ และจรรยาบรรณวิชาชีพ ด้วยความละเอียดอ่อน ถึงแม้งานจะหนัก ยุ่งยาก ซับซ้อน เพราะเป็นบริการที่ให้กับมนุษย์ซึ่งมีชีวิตจิตใจ โดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง ทุกสิทธิบัตร และไม่เลือกชนชั้น ชาติ ศาสนา ลัทธิทางการเมือง ฯลฯ แต่เมื่อมีผู้รับบริการมาก ภาระงานหนัก บุคลากรทางการแพทย์มีจำนวนจำกัด จึงส่งผลกระทบให้คุณภาพ และประสิทธิภาพในการรักษาพยาบาลลดลงได้
       2.ความเสี่ยงในเรื่องต่างๆ ส่งผลกระทบต่อบุคลากรสาธารณสุขอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมทั้งมีปัจจัยต่างๆเข้ามามีอิทธิพลต่อบุคลากรโดยตรง เช่น
          2.1การถูกร้องเรียน / ฟ้องร้อง ทำให้เสียสมาธิ และหมดขวัญกำลังใจในการทำงาน
          2.2 ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เช่น
         2.2.1ในยามวิกาลพยาบาลต้องเข้าเวร ออกเวร กลุ่มคนร้ายหรือมิจฉาชีพสามารถฉกฉวยโอกาสได้ง่าย อาจ ถูกชิงทรัพย์สิน ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกข่มขืนแล้วฆ่าดังข่าวซึ่งเคยปรากฏบนหนังสือพิมพ์ / โทรทัศน์ 2.2.2เสี่ยงต่ออันตรายต่างๆที่จะเกิดขึ้นขณะนำส่งผู้ป่วย ( Refer ) จากสถานพยาบาลหนึ่งไปอีกสถานพยาบาลหนึ่ง ซึ่งเคยมีอุบัติเหตุ พยาบาลผู้นำส่งผู้ป่วย / เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ และสูญเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่
         2.2.3ในยามบ้านเมืองไม่สงบสุข เช่น เกิดจลาจล สงคราม สงครามกลางเมือง ทำให้กระทรวงสาธารณสุข ต้องสูญเสียบุคลากรที่มีคุณค่าไปอย่างน่าเสียดาย เนื่องจากต้องเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ราชการ และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานไม่สะดวก ผู้ป่วยไม่ปลอดภัย จำเป็นต้องย้ายโรงพยาบาล ดังปรากฏบนสื่อ /โทรทัศน์ / หนังสือพิมพ์ที่ผ่านมา ซึ่งปรากฏบนสื่อต่างๆไปทั่วโลก
    2.3 เสี่ยงติดเชื้อโรคต่างๆ เช่น ไข้หวัด 2009 , TB , AIDS ฯลฯ เพราะการทำงานในชีวิตประจำวันของพยาบาล ต้องอยู่กับผู้ป่วยตลอด 24 ชั่วโมง
    2.4 มีปัญหาครอบครัว เนื่องจากต้องเข้าเวรเช้า บ่าย ดึก มีเวลาอยู่บ้านไม่แน่นอน ลูกไม่มีคนดูแล สามีไปมีผู้หญิงอื่น บ้านถูกงัดแงะ ฯลฯ และอาจเป็นปัญหาของสังคมได้หากไม่ได้รับการแก้ไข
3.ความก้าวหน้าทางวิชาชีพ ซึงเป็นปัญหามากที่สุดในขณะนี้
3.1 การบรรจุตำแหน่งเป็นข้าราชการของพยาบาลประจำการจบใหม่
      3.1.1 การบรรจุ ไม่มีความหวังที่แน่นอนว่าจะได้รับการบรรจุแต่งตั้งเข้าทำงานเมื่อไร ไม่มีความมั่นคงในอาชีพ ทำให้มีการสมองไหล /ลาออก / เปลี่ยนงานบ่อย จึงมีความเสี่ยงต่อผู้ป่วยทางด้านมาตรฐานการดูแล / คุณภาพการรักษาพยาบาล ต้องรับพยาบาลใหม่มาทดแทนเรื่อยๆ เนื่องจากผู้ที่มีความชำนาญในงานจะโดนเอกชนดึงตัวได้ง่ายเนื่องจากงานเบากว่า ค่าตอบแทนสูงกว่า และมีเป็นจำนวนมากในแต่ละปี จึงต้อง Trainคนใหม่อยู่เป็นประจำไปประกอบอาชีพอื่น เช่น ครู ตัวแทนประกันชีวิต ธุรกิจขายตรง อาหารเสริมสุขภาพ เลขาฯ.......( ทั้งในกระทรวงสาธารณสุข และนอกกระทรวง ) ฯลฯ
ไปทำงานต่างกระทรวง / ทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐ เช่น ทำงานเทศบาล อาจารย์มหาวิทยาลัย ฯลฯ
         3.1.2 ควรมีมาตรฐานเดียวกันในการบรรจุของพยาบาลที่สำเร็จการศึกษาจากทุกสังกัดเข้าทำงานในกระทรวงสาธารณสุข ควรใช้ระบบการคัดเลือกแข่งขัน หรือวิธีลำดับที่การสอบได้ใบประกอบวิชาชีพ ผู้ที่สอบได้ก่อนได้รับการบรรจุก่อน และให้ยกเลิกโควตาการบรรจุนักเรียนทุน เพราะเป็นการปิดกั้นคนเก่งจากสถาบันอื่น(ทบวงมหาวิทยาลัยและเอกชน)เข้าสู่ระบบของกระทรวงสาธารณสุข หรือเมื่อเข้ามาทำงานแล้วก็อยู่ได้ไม่นานเพราะไม่ได้บรรจุ เนื่องจากปัจจุบันนักเรียนทุนได้รับบรรจุก่อน เป็นการเหลื่อมล้ำในวิชาชีพเดียวกัน
       3.1.3 มีพยาบาลจำนวนมากเป็นคนท้องถิ่น มีความต้องการจะกลับมาดูแลที่บ้านเกิด แต่กระทรวงไม่มีแผนการบรรจุคนรองรับ ในขณะที่ปริมาณคนไข้มากขึ้นทุกขณะ ความแน่นอน ความมั่นคงในอาชีพไม่มี ทำให้เกิดความท้อแท้

3.2 ภาระงานและการปรับระดับตำแหน่ง
        3.2.1 ภาระงาน และลักษณะงานที่ปฏิบัติ เป็นงานที่หนัก ยุ่งยาก ซับซ้อน มากกว่าวิชาชีพอื่นเนื่องจากปฏิบัติงานกับชีวิตมนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจ ต้องทำทั้งกลางวันคืน กลางคืน มีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน และเมื่อเปรียบเทียบกับข้าราชการครูสอนนักเรียนวันละ 2-5 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 10-25 ชั่วโมง แต่วิชาชีพพยาบาลทำงานวันเดียว 8-9 ชั่วโมง หรือสัปดาห์ละ 40-45 ชั่วโมง ซึ่งจะเห็นว่าหนักและเหนื่อยกว่าหลายเท่า
การทำ P4P เป็นการเพิ่มภาระงานให้กับพยาบาลผู้ปฏิบัติ เนื่องจากต้องปฏิบัติงานกับผู้ป่วยที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพ ต้องแบ่งเวลาลงกิจกรรม P4P ที่ทำ แทนที่จะดูแลผู้ป่วยได้เต็มที่ จึงมีความเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องเพิ่มมากขึ้น
       3.2.2 การปรับระดับตำแหน่งของวิชาชีพพยาบาลไม่ควรยึดติดอยู่กับ ขนาดของโรงพยาบาล และจำนวน ผู้รับบริการ ควรให้ลื่นไหลเหมือนวิชาชีพครู ที่มีการเลื่อนตำแหน่งได้โดยไม่ยึดกับขนาดของโรงเรียน และจำนวนนักเรียน
      3.2.3 ตำแหน่งหัวหน้าหอผู้ป่วย ควรมีในโครงสร้างที่ กพ. กำหนดไม่ใช่แค่ตำแหน่งภายในโรงพยาบาล เนื่องจากปฏิบัติงานจริงทั้งทางด้านบริหารจัดการ บริการและวิชาการ ซึ่งเป็นที่ทราบของบุคคลทั่วไปทั้งภายใน และภายนอกโรงพยาบาล
      3.2.4 ควรเพิ่มตำแหน่งชำนาญการพิเศษ , เชียวชาญ เช่น หัวหน้าตึก / หัวหน้างานควรได้ตำแหน่งชำนาญการพิเศษ และหัวหน้าพยาบาลควรได้ตำแหน่งเชียวชาญ
3.3 ยังมีความเหลื่อมล้ำของความเจริญก้าวหน้าในต่างสาขาวิชาชีพของบุคลากรในกระทรวงสาธารณสุข
3.4 ถ้าหากไม่สามารถปฏิบัติได้ตามคำเรียกร้อง ควรแยกตัวออกจาก กพ.เป็นข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขเองโดยเฉพาะ เนื่องจากมีความหลากหลายวิชาชีพ / อาชีพ ภายในกระทรวงซึ่ง กพ.เองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ดีพอ เวลามีการจัดสรรงบประมาณเมื่อเทียบสัดส่วนแล้ว พยาบาลจะรับน้อยกว่าวิชาชีพอื่นโดยอ้างว่าพยาบาลมีมากงบประมาณมีน้อย ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อวิชาชีพพยาบาล
4.ด้านสวัสดิการ
4.1 การบาดเจ็บ / การเจ็บป่วย / การสูญเสียชีวิตจาการทำงาน ควรกำหนดไว้ให้ชัดเจนในระเบียบด้านสวัสดิการของกระทรวงสาธารณสุข เหมือนกับข้าราชการตำรวจ / ทหาร
4.2 เงินเดือน และค่าตอบแทนน้อยเมื่อเทียบกับภาระงานไม่เพียงพอต่อการครองชีพ ต้องไปหาอาชีพอื่นมาเสริมรายได้ เช่น ตัวแทนประกันชีวิต ธุรกิจขายตรง อาหารเสริมสุขภาพ ฯลฯ
4.3 เงินประจำตำแหน่งทุกชนิด เช่น เงินพตส , รพช /รพท /รพศ ให้ไปรวมกับเงินเดือนเพื่อใช้คำนวณ บำเหน็จ บำนาญ ในยามเกษียณเหมือนข้าราชการทหาร ตำรวจ และตุลาการ
4.4 บ้านพักไม่เพียงพอบุคลากรทางการพยาบาลที่อยู่เวร รัฐควรให้งบประมาณในการสร้างบ้านพักให้เพียงพอและสัมพันธ์กับพื้นที่ของโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลมีพื้นที่จำกัดแต่ให้งบประมาณสร้างอาคารไม่กี่ชั้น 4.5 ที่จอดรถไม่เพียงพอต่อบุคลากรและผู้รับบริการ รัฐควรให้งบประมาณในการสร้างอาคารจอดรถในโรงพยาบาลที่มีพื้นที่จอดรถอันจำกัด เช่น โรงพยาบาลพัทลุง ( ปัจจุบันไม่มีแม้แต่พื้นที่ให้สร้าง เพราะยังหาสถานที่ไม่ได้ )
5.สภาวะสุขภาพจิต หรือความเครียดของพยาบาล / แพทย์ / บุคลากรที่เกี่ยวข้อง สูงมากกว่าบุคลากรกระทรวงอื่น เนื่องจาก
5.1 ต้องดูแลรับผิดชอบชีวิตคนทั้งชีวิตตั้งแต่แรกรับจนกระทั่งจำหน่าย หรือจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของผู้ป่วย 5.2 มีความเสี่ยงต่อการร้องเรียน / ถูกฟ้องร้องสูง 5.3 ปฏิบัติงานไม่เป็นเวลา เสี่ยงภัย เสี่ยงอันตราย เสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน เสี่ยงมีปัญหาครอบครัว
5.4 เสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆ. 5.5 เงินเดือน / ค่าตอบแทน ไม่เหมาะสมกับภาระงาน
6.,มีการแข่งขันทางการแพทย์สูง ทั้งโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน ผู้ที่มีประสบการณ์ มีความรู้ความชำนาญในงานอาชีพ โอกาสถูกดึงตัวไปที่อื่นมีได้ง่าย
7.ผู้มี่มีพลังอำนาจ / มีอิทธิพล ส่งผลกระทบต่องานประจำของเจ้าหน้าที่ ทั้งด้านบวกและด้านลบ เช่น นักการเมือง / ข้าราชการการเมือง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ผู้บริหารระดับสูง และผู้มีอุปการคุณโรงพยาบาล
8.ด้านขวัญกำลังใจ
จากข้อ 1- 7 เป็นสิ่งที่เข้ามามีบทบาท หรือมีอิทธิพลต่อขวัญกำลังใจในการทำงานประจำของพยาบาล เช่น การออกเวร การโอน การย้าย ไม่เป็นไปตามกฎระเบียบของกลุ่มการพยาบาล ทำให้บั่นทอนจิตใจและความรู้สึกของเจ้าหน้าที่เป็นอย่างมาก เกิดอาการเสียขวัญหมดกำลังใจ มีความท้อแท้ อันเป็นสาเหตุทำให้เกิดการย้าย / การโอน / การลาออก / Early Retire เพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างเป็นวัฏจักร หรือเกิด อาการสมองไหล บุคลากรสูญหายไปจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างน่าเสียดายของภาครัฐ
1.จัดให้มีสถานพยาบาลเป็นเครือข่ายสุขภาพ เพื่อให้บริการแก่ประชาชนครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ( ใกล้บ้าน ใกล้ใจ ) : โรงพยาบาลของรัฐ ( รพสต./รพช./รพท./รพศ. ) ทบวงมหาวิทยาลัย และเอกชน แต่ระบบการบริหารจัดการ / การให้บริการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค ของรัฐยังไม่ดีเท่าที่ควร จึงทำให้มีผู้ป่วยไปล้นที่ รพท. / รพศ.
2.การจัดสรรงบประมาณให้โรงพยาบาลทั้ง 3 กองทุน ในระบบสวัสดิการข้าราชการ ระบบหลักประกันสังคม และระบบหลักประกันสุขภาพภาพแห่งชาติ ยังไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาล
3.การสร้างมิตรสัมพันธ์ / เครือข่ายสุขภาพ กับกระทรวงอื่นๆ / ทบวงมหาวิทยาลัย / หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนและภาระงานของเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข
เช่น -กระทรวงศึกษาธิการ /สถานศึกษา / สถาบันการศึกษา
: อาจเริ่มต้นตั้งแต่การเข้าไปมีส่วนร่วมกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนเรื่องที่เกี่ยวข้อง เช่น การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค เพศศึกษา ยาเสพติด ฯลฯ
: การร่วมกิจกรรมกับครู นักเรียน โรงเรียนต่างๆในพื้นที่รับผิดชอบ
- กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ : วิถีชีวิตของชาวบ้านทางด้านการเกษตรปลูกผักปลอดสารพิษ หลักเศรษฐกิจพอเพียง การนำทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้เป็นต้นแบบ และกระทรวงสาธารณสุขควรมีการเชิดชู เทิดพระเกียรคิที่พระองค์ท่านมีโครงการต่างๆมากมายทั่วประเทศ ซึ่งเท่ากับให้บริการเชิงรุก โดยการส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันโรคแก่ประชาชน
-กระทรวงมหาดไทย : องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล ตำบล ฯลฯ
-กระทรวงอื่นๆอื่นๆ : กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม , กระทรวงวัฒนธรรม ,กระทรวงการท่องเที่ยว และกีฬา ฯลฯ

4.การกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาล เพื่อความต่อเนื่องในการพัฒนาโรงพยาบาล ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่ และผู้รับบริการ เช่น กำหนดวาระไว้ 4 ปี และต้องอยู่อย่างน้อย 2 ปี จึงย้ายไปปฏิบัติงานโรงพยาบาลใหม่ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น